ปฏิจฺจสมุปฺปาทสงฺเขปกถา



    ก็แหละในจำพวกที่เป็นสัสสตทิฐิ คือ ที่ถือว่าการตายแล้วต้องเกิดต่อไปอีกนั้นเล่าก็ยังมีทรรศนะต่าง ๆ กัน แยกย่อยออกไปอีก กล่าวคือ บางพวกถือว่าตายแล้ววิญญาณไม่ดับ แต่ก็ไม่ชี้แน่นอนลงไปว่า จะเกิดเป็นอะไร บางพวกถือแน่นอนลงไปว่าคนตายแล้วต้องไปเกิดเป็นคน นกตายแล้วต้องไปเกิดเป็นนก แมวตายแล้วต้องไปเกิดเป็นแมว ยังมีบางพวกถือแน่ชัดลงไปยิ่งกว่านั้นว่า คนไทยตายแล้วต้องไปเกิดเป็นคนไทย คนพม่าตายแล้วก็ต้องไปเกิดเป็นพม่า คนฝรั่งตายแล้วต้องไปเกิดเป็นฝรั่ง ทรรศนะอย่างนี้ไม่ตรงตามหลักพระพุทธศาสนาเหมือนกัน พระพุทธศาสนาถือว่าตายแล้วจะไปเกิดที่ไหนเป็นอะไร นั่นแล้วแต่กรรมต่างหาก กรรมมีอำนาจจำแนกสัตว์โลกให้ไปเกิดเป็นอะไร ณ ภพภูมิไหน ๆ ก็ได้ คือคนเรานี้อาจไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานก็ได้ เป็นสัตว์นรกก็ได้ เป็นเทวดา หรือเป็นพรหมก็ได้ แล้วแต่กรรมที่บุคคลได้สร้างสรรค์เอาไว้เป็นกฎเกณฑ์แต่ถึงกระนั้นก็ตาม วิญญาณที่เกิดนั้นไม่ใช่ดวงเก่า ถ้าถือว่าดวงเก่าก็เป็น    สัสสตทิฐิ ความจริงนั้น วิญญาณ หรือจิต เจตสิก และรูปในภพนี้ก็ดับหมดในภพนี้นั่นเอง ในภพใหม่ก็เกิดขึ้นใหม่ด้วยอำนาจของกรรมในภพก่อน
    ในจำพวกที่เป็นอุจเฉททิฐิ คือ ที่ถือว่าตายแล้วสูญนั้น ก็ยังมีทรรศนะต่าง ๆ กันแยกย่อยออกไปอีก กล่าวคือ ที่ถือว่าตายแล้วสูญบางส่วนก็มี ที่ถือว่าตายแล้วสูญทั้งหมดแต่สูญในฐานะต่างกันก็มี คือบางพวกเห็นว่า จำพวกมนุษย์ตายแล้วสูญ บางพวกเห็นว่าจำพวกพรหมตายแล้วสูญ บางพวกก็เห็นว่า จำพวกอรูปพรหมตายแล้วสูญ แต่ทั้งนี้ก็ถือลงกันว่า ตายแล้วสูญทั้งนั้น ทรรศนะดังนี้ก็ไม่ตรงตามหลักพระพุทธศาสนาเหมือนกัน พระพุทธศาสนาถือว่าที่ตายแล้วสูญนั้นต้องเป็นพระอรหันต์จำพวกเดียวเท่านั้น นอกจากนั้นตายแล้วต้องเกิดอีกต่อไปจนกว่าจะสำเร็จเป็นพระอรหันต์
    มัชฌิมาปฏิปทา ข้อปฏิบัติที่ถือว่าเป็นทางสายกลางไม่ออกนอกลู่นอกทางนั้น ไม่ใช่ถือว่าวิญญาณในภพเก่านี้ไปเกิดในภพใหม่ และไม่ใช่ถือว่าวิญญาณในภพเก่าดับสูญไปเลยโดยไม่มีอะไรที่เป็นปัจจับสืบต่อไปในภพใหม่ ที่ถือว่าเป็นทางสายกลางที่ถูกนั้นคือ ถือว่าสภาวธรรมคือจิต เจตสิก และรูปในภพเก่าก็ดับเกิดในภพใหม่ แต่ทว่าเป็นเหตุปัจจัยให้สืบเนื่องกันดังที่ได้แสดงเป็นอุปมาด้วยเมล็ดข้าวปลูกมาแล้วนั้น

 

    ข้อว่า  ...
    รูปนามมันเกิดมันดับนั้น หมายความว่าอย่างไร ?
    หมายความว่า สภาวะของรูปและนามนี้เกิดแล้วดับ เกิดแล้วก็ดับ สืบต่อไปอย่างรวดเร็วที่สุดอยู่อย่างนี้ตลอดไป ผู้ที่ปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฎฐาน หรือ ผู้ที่ได้เรียนรู้สภาวะปรมัตถธรรมเป็นอย่างดีแล้ว จึงจะรู้ได้เห็นได้อย่างชัดแจ้งว่า สภาวะของรูปและนามนี้มันเกิดดับสืบเนื่องกันไปมิใช่เป็นสภาพนิ่งคงที่อยู่ เฉย ๆ สำหรับผู้ที่ไม่ได้เรียน และไม่ได้ปฏิบัตินั้นอย่าพูดถึงความดับของรูปและนามเลย แม้เพียงคำว่ารูปและนามก็ยังไม่รู้ความหมายที่ถูกต้อง
    รูปนั้น ได้แก่สิ่งที่ เราอาจแลเห็นได้ จับต้องได้ ถูกต้องได้ เมื่อกล่าวโดยหยาบ ๆ ก็ได้แก่อัตตาภาพร่างกายของคนเรานี้เอง นามนี้ ได้แก่สภาวะที่เราแลเห็นไม่ได้ จับต้องไม่ได้ ถูกต้องไม่ได้ โดยใจความ ณ ที่นี้ได้แก่จิต ความนึกคิด เจตสิก ธรรมชาติที่ประกอบกับจิต ปรุงแต่งจิตให้เป็นต่าง ๆ  นามรูปเหล่านี้นั้นเกิดดับสืบต่อกันอยู่เสมอ เก่าดับไป ใหม่เกิดขึ้นแทน
    หากจะมีปัญหาว่า ถ้ารูปนามเหล่านี้มันเกิดดับอยู่เสมอแล้ว ไฉนคนเราจึงนั่งอยู่เฉย ๆ อย่างนี้ ไม่เห็นมันเกิดมันดับที่ตรงไหนสักที
    แก้ว่า สภาวธรรมนี้ละเอียดมาก ผู้ศึกษาจะพึงรู้ได้ด้วยข้ออุปมา เช่นดวงไฟที่เราแลเห็นกันอยู่นี้ ก็เกิดดับสืบต่อกันอยู่เหมือนกัน แม้ทางวิชาวิทยาศาสตร์ก็แสดงว่าดวงไฟมันเกิดดับติดต่อกันไป ไม่ใช่ดวงเดียวสว่างอยู่เฉย ๆ ดังที่ปรากฏแก่ตาคนเรา ความจริงมันดับแล้วเกิดต่อกันเรื่อย ๆ ไปฉันใด รูปนาม อันได้แก่ จิต เจตสิก และรูปเหล่านี้ มันเกิดดับติดต่อกันไปฉันนั้น และมันเกิดดับเร็วยิ่งกว่าดวงไฟเสียอีกเพราะฉะนั้นเราจึงไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาว่า มันเกิดดับอยู่เสมอ หากเราอนุมานเอาเองหรือด้วยเหตุที่ปัญญาเราอ่อนไม่มีกำลังเร็วพอ เราจึงไม่อาจรู้ได้ว่า รูปที่ดับไปกับรูปที่เกิดขึ้นใหม่มันต่างกันอย่างไร เพราะมันกระชั้นชิดติดกันเหลือเกิน ความเปลี่ยนแปลงของรูปที่เกิดดับนั้นมันชั่วขณะนิดเดียวเท่านั้น เราจึงสังเกตไม่ได้
    แต่ถ้าเราจะสังเกตดูระยะที่ห่าง ๆ เราก็จะเห็นได้ว่ารูปมันเกิดดับ และเปลี่ยนแปลงไปจริง ๆ เช่น รูปเมื่อเป็นเด็กกับรูปเมื่อเป็นผู้ใหญ่มันต่างกันมากทีเดียว ข้อนี้เราจะปฏิเสธว่ารูปเมื่อเป็นเด็กโน้นไม่ใช่รูปที่เป็นผู้ใหญ่นี้ไม่ได้ และจะรับว่าเป็นรูปอันเดียวกันเสียทั้งหมดก็ไม่ได้ แล้วทำไมมันจึงไม่เหมือนกันเล่า ทั้งนี้เพราะมันเกิดดับเกิดดับและค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงสภาพไปทีละนิด โดยที่เราไม่รู้สึกหรือสังเกตไม่เห็นความจริงนับแต่มันเกิดขึ้นแล้ว มันก็เกิดดับและเปลี่ยนแปลงต่อกันไปเรื่อย ๆ ไม่ช้าไม่นานเท่าไรรูปชราก็มีปรากฏให้เห็นผู้ที่ชราเพียงเล็กน้อยต่อไปมันก็ชรามากขึ้นทุกทีในที่สุดรูปมรณะก็ปรากฏให้เห็นแก่คนทั้งหลาย มันเกิดดับเปลี่ยนแปลงเรื่อยไปเป็นธรรมนิยามอย่างนี้โดยไม่มีการหยุดยั้งเลย แต่ด้วยเหตุที่ปัญญาเราอ่อนจึงไม่สามารถที่จะเห็นรูปขณะมันเกิดดับเปลี่ยนแปลงติดต่อกันไป แต่เมื่อเรามองดูระยะกาลห่าง ๆ ก็จะเห็นได้ว่ารูปมันเกิดดับจริง ๆ อย่างนี้
    กายและจิตที่ดับไปแล้วกับรูปและนามที่เกิดขึ้นใหม่นั้น จะว่าไม่เกิดสืบเนื่องกันไม่ได้ ความจริงมันเกิดดับติดต่อสืบเนื่องกันไปอย่างไม่ขาดสาย เราจะปฏิเสธรูปเมื่อเป็นเด็ก ๆ กับรูปเมื่อเป็นผู้ใหญ่ว่ามันเป็นคนละอันนั้นไม่ได้ ความจริงมันก็รูปอันเดียวกันนั้นเองแต่ว่ามันเปลี่ยนสภาพไป มันดับแล้วมันก็เกิดขึ้นใหม่โดยติดต่อกันเป็นทอด ๆ ต่อเนื่องกันไปอย่างนี้

 



ปรับปรุง ณ วันที่ 2022-12-27