ปฏิจฺจสมุปฺปาทสงฺเขปกถา



    ในองค์ธรรมของปฏิจจสมุปบาท ๑๒ ประการนั้น
    ณ ที่นี้ ยกเอาชาติ ขึ้นมาแสดงเป็นประเภทแรก
    เราท่านทั้งหลายที่กำลังนั่งกันอยู่นี้ หมายความว่า มีชาติเกิดขึ้นแล้วทั้งนั้น เมื่อชาติเกิดขึ้นแล้ว ก็มีชราและมรณะติดต่อกันไปเรื่อย ๆ ที่จริง ชรา นั้นมิได้หมายความว่า แก่หง่อม ดังที่สามัญชนรู้จักกัน แม้แต่เพียงรูปนามเคลื่อนจากสภาวะเดิมไปนิดเดียวเท่านั้นก็เป็นชราแล้ว ตอนแรก ๆ เรียกว่า แก่ขึ้น คนสามัญชนไม่ค่อยจะรู้กัน เช่น เด็ก ๆ เป็นหนุ่มเป็นสาวขึ้นมา ก็พากันนิยมชื่นชมยินดี เมื่อเป็นหนุ่มเป็นสาวเต็มที่แล้วก็แก่ลง ตอนที่แก่ลงจึงค่อยรู้กัน และรู้สึกไม่นิยมชื่นชมยินดีเหมือนเมื่อแก่ขึ้น ในระยะที่ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส เกิดขึ้นนี้ท่านเรียกว่า อาสวะ และอาสวะนี้เป็นเหตุให้เกิดอวิชชาขึ้นอีก เพราะฉะนั้น ปฏิจจสมุปบาท จึงมีอาการวกวนเป็นวงกลม คนผู้ตกอยู่ในอำนาจ ปฏิจจสมุปบาท จึงวกวนคือเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏฏสงสารไม่รู้จักจบจักสิ้นสักที มีอาการเหมือนมด ซึ่งเดินวนเวียนอยู่ที่ขอบปากถ้วยแก้ว ฉะนั้น
    องค์ธรรมในปฏิจจสมุปบาทนั้น แต่ละประการต่างก็เป็นปัจจัยอุดหนุนเกื้อกูลให้กันและกันเกิดขึ้นเป็นทอด ๆ ดังนี้
    “อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา” เพราะอวิชชา คือความไม่รู้แจ้งสภาวธรรม ตามจริงเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร อันได้แก่บุญและบาป
    “สงฺขารปจฺจยา วิญฺญาณํ”  เพราะสังขาร คือบุญและบาปนั้น เป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ อันได้แก่ปฏิสนธิจิต
    “นามรูปปจฺจยา สฬายตน” เพราะนามรูปเป็นปัจจัยให้เกิดอายตนะ ๖ มี จักขวายตนะ เป็นต้น
    “สฬายตน ปจฺจยา ผสฺโส”  เพราะอายตนะ เป็นปัจจัยให้เกิดผัสสะ ๖ มี จักขุสัมผัส เป็นต้น
    “ผสฺสปจฺจยาเวทนา” เพราะผัสสะ เป็นปัจจัยให้เกิดเวทนา ๖ มี จักขุสัมผัสสาเวทนาเป็นต้น
    “เวทนาปจฺจยา ตณฺหา” เพราะเวทนา เป็นปัจจัยให้เกิดตัณหา ๓ มีกามตัณหา เป็นต้น
    “ตณฺหาปจฺจยา อุปาทานํ” เพราะตัณหา เป็นปัจจัยให้เกิดอุปาทาน ๔ มีกามุปาทานเป็นต้น
    “อุปาทานปจฺจยาภโว” เพราะอุปาทานเป็นปัจจัยให้เกิดกรรมภพ
    “ภวปจฺจยา  ชาติ” เพราะภพเป็นปัจจัยให้เกิดชาติ
    “ชาติปจฺจยา ชรามรณํ โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสูปายาสา สมฺภวนฺติ” เพราะชาติเป็นปัจจัยให้เกิด ชราและมรณะ ซึ่งเป็นผลโดยตรง และเกิด โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส ซึ่งเป็นผลโดยอ้อม
    “เอวเมตสฺส เกวลสฺส ทุกฺขกฺขนฺธสฺส สมุทโย โหติ” กองทุกข์สิ้นทั้งมวลนั้น ย่อมเกิดขึ้นด้วยเหตุปัจจัยเป็นทอด ๆ ด้วยประการฉะนี้
    และเมื่อชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส เหล่านี้เกิดขึ้นแล้ว เป็นอาสวะกิเลสทั้งสิ้น อาสวะก็เป็นเหตุให้เกิดอวิชชาขึ้นอีก แล้วก็เกิดสังขาร วิญญาณ และนามรูปเป็นลำดับไปอีก มันมีอาการวกวนเป็นวงกลมซึ่งเรียกว่า สังสารวัฏ เหมือนกับมดเดินวนเวียนที่ขอบปากถ้วยแก้วอย่างนี้แล
    เมื่อได้ยกปฏิจจสมุปบาทมาแสดงโดยสังเขปดังนี้ แล้วปัญหาที่จะพิจารณาศึกษาต่อไปนั้น ก็คือ ทำอย่างไร เราจึงจะหลุดพ้นไปจากอำนาจปฏิจจสมุปบาท หรือหลุดพ้นไปจากความเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏ เพราะการเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏนั้น มันเป็นทุกข์อย่างใหญ่หลวงดังกล่าวมาแล้ว
    มันเป็นทุกข์อย่างไร ?
    ที่จริง เมื่อเราพิจารณาเพียงชั่วชาติเดียวเท่านั้น เราก็จะมองเห็นได้ทีเดียวว่า คนเราเกิดขึ้นมาแล้ว ไม่ใช่ดำรงคงที่อยู่ แต่มันต้องแก่ต้องเจ็บ และต้องตายในที่สุด เพียงเท่านี้ก็มองเห็นว่า เป็นทุกข์อย่างน่ากลัวแล้ว ยิ่งพิจารณาดูไปกว้าง ๆ ตามหลักฐานที่ท่านแสดงไว้ ยิ่งจะเป็นสิ่งที่น่าสะดุ้งหวาดกลัวอย่างที่สุด เพราะการเกิดนี้ จะเลือกเอาเองตามชอบใจไม่ได้ ต้องเกิดขึ้นตามอำนาจของกรรม และกรรมนี้ก็มีทั้งกุศลกรรมและอกุศลกรรม ถ้าเราไปพลาดพลั้งเข้า เราก็จะทำอศุลกรรมไว้อย่างเหลือหลาย ที่จริงอกุศลกรรมนั้นเราต้องเคยทำมาอย่างแน่นอนทีเดียว เพราะเราท่านทั้งหลายได้เคยเกิดมาแล้วอย่างนับชาตินับภพไม่ถ้วน
    ตามหลักฐานที่ท่านแสดงไว้ คนเราเกิดมาแต่ละชาตินั้น เกิดในทุคคติภูมิมากกว่าเกิดในสุคติภูมิ ลองพิจารณากันดูเพียงง่าย ๆ อย่างนี้ว่า ที่เกิดเป็นมนุษย์มีสักเท่าไร ที่เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานมีสักเท่าไร เพราะจะเห็นได้ว่า สัตว์ที่ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานนั้น มันช่างมากมายเสียเหลือเกิน พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้มาแล้ว มากต่อมากพระองค์ด้วยกันและพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์นั้น ได้ทรงช่วยรื้อสัตว์เข้าสู่ปรินิพพานถึง ๒๔ อสงไขย แล้วทำไมพระพุทธเจ้าไม่ทรงโปรดเราในจำนวนนั้นบ้างเลย เรายังอยู่ลอดพระเนตรพระกรรณมาจนบัดนี้ สงสัยว่าในระหว่างกาลอันยืดยาวนั้น เราจะไพล่ไปเกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉาน หรือเป็นสัตว์นรกอยู่เสียทีเดียว การที่เราได้เกิดเป็นคน และได้มานั่งฟังเทศน์ฟังธรรมอยู่อย่างขณะนี้ ก็เห็นจะน้อยครั้งเต็มทีและคงจะเป็นจำพวกที่ฟังเทศน์ง่วงนอนดูละครตาแจ้งด้วย พระพุทธเจ้าจึงทรงโปรดไม่ได้ เพราะฉะนั้นทุกคนที่เกิดมาแล้ว คงจะได้ประสบทุกข์กันมาอย่างมากมายนักหนาทีเดียว
    การที่คนเราเกิดมาเป็นทุกข์นั้น ถ้ายิ่งคิดยิ่งพิจารณาก็ยิ่งเห็นทุกข์มากขึ้น อย่างเหลือที่จะพรรณนา และต่อไปนี้ ถ้าไม่คิดแก้ไขปรับปรุงตนเองเสียใหม่ คือไม่ปฏิบัติตนให้พ้นไปจากความวกวน ด้วยอำนาจปฏิจจสมุปบาทแล้ว ข้างหน้ายังจะต้องประสบกับความทุกข์ อีกอย่างมากมายเหลือหลาย เหมือนอย่างอดีตที่เคยได้ประสบพบเห็นมานั่นแหละ
    เพราะฉะนั้น เมื่อเราได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ได้พบพระพุทธศาสนา ได้รู้จักทางปฏิบัติ ที่จะทำตนให้หลุดพ้นจากทุกข์แล้วเช่นนี้ ควรภูมิใจว่า เป็นโชคลาภอันใหญ่หลวงสมควรแท้ทีเดียวที่จะพึงลงมือปฏิบัติธรรมกัมมัฏฐานเจริญตามพระพุทธโอวาท เพื่อความหลุดพ้นจากกองทุกข์อันน่าสยดสยอง น่าสดุ้งหวาดกลัวเห็นปานนั้น ดังตัวอย่างที่พระสาวกผู้เจริญรอยตามพระพุทธองค์ ได้พ้นจากกองทุกข์ไปแล้วก็ปรากฏอยู่มากมาย และการปฏิบัติธรรมนั้นเราไม่ต้องแสวงหาทุนรอนภายนอกอะไร ให้เป็นการลำบากยากเย็นเพียงแต่ตัดสินใจให้แน่วแน่ แล้วลงมือปฏิบัติตามหนทาง ที่พระพุทธองค์ทรงประทานไว้แล้วเท่านั้น ประกอบด้วยสมัยนี้ ครูบาอาจารย์ ผู้เป็นกัลยาณมิตรสามารถจะสอนศิษย์ได้ก็พอมีอยู่ตามสมควรแล้ว

 



ปรับปรุง ณ วันที่ 2022-12-27