ปฏิจฺจสมุปฺปาทสงฺเขปกถา



    สำหรับผู้ที่ได้ปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน จนทำให้วิปัสสนาปัญญาเกิดขึ้น นับตั้งแต่นามรูปปริเฉทญาณไปจนถึงอุทยัพพยญาณแล้ว ก็จะเห็นด้วยวิปัสสนาปัญญาได้ชัดทีเดียวว่ารูปนามนี้มันเกิดดับ จริง ๆ และรู้ว่ามันเกิดดับด้วยอาการอย่างไร ย่อมรู้ได้ด้วยตนเองโดยเฉพาะ สมกับคำสรรเสริญพระธรรมว่า “เป็นธรรมที่ผู้รู้ทั้งหลายจะพึงรู้ได้เฉพาะตน” ข้อนี้เป็นสิ่งที่น่าประหลาดอัศจรรย์จริง ๆ พระพุทธเจ้าทรงท้าให้ผู้รู้เข้าพิสูจน์ดูด้วยการลงมือปฏิบัติว่ารูป-นามมันเกิดดับจริง ๆ ถ้าเราไม่พิสูจน์ด้วยการปฏิบัติแล้วเราก็จะไม่มีโอกาสที่จะรู้ได้เลยว่า รูปนามนั้นมันเกิดดับอยู่เป็นนิจด้วยอาการอย่างไร ?
    รูปนามที่ดับไปกับรูปนามที่เกิดขึ้นใหม่นั้นมันต่อเนื่องกันอย่างไร ?
    ข้อนี้นักศึกษาจะพึงรู้ด้วยอุทาหรณ์ เช่น เสียงที่ดังขึ้นในครั้งแรกนั้น มันดับไปในครั้งแรกนั้นเอง แต่มันเป็นปัจจัยให้เสียงใหม่เกิดขึ้นต่อไปอีก อีกอย่างหนึ่งเช่นเมื่อเราเข้าไปในป่า แล้วร้องตะโกนขึ้นดัง ๆ เสียงที่ดังขึ้นนั้นมันดับไปที่เรานั่นเอง แต่มันเป็นปัจจัยให้เกิดเสียงสะท้อนขึ้นมาในระยะติดกัน และดังเหมือนกับเสียงที่เราตะโกนขี้นนั้น ข้อนี้จะว่าเสียงที่ร้องตะโกนขึ้นครั้งแรกนั้น มันแล่นไปหรือก็ไม่ใช่ ที่จริงเสียงที่เราตะโกน ณ ที่นี่มันดับอยู่ที่นี่เอง และเสียงที่ดังก้องขึ้นนั้นมันก็เกิดขึ้น ณ ที่โน้นนั้นเอง แต่ว่ามันเป็นปัจจัยต่อเนื่องกันกับเสียงที่ดังก้องขึ้นนั้น จะว่าเป็นเสียงเกิดขึ้นใหม่โดยลำพังก็ไม่ใช่ จะว่าเป็นเสียงเก่าที่ดังขึ้นครั้งแรกนั้นก็ไม่ใช่ด้วยประการฉะนั้น
    สามัญชนโดยมากย่อมไม่เข้าใจว่า คนเราที่จะไปเกิดที่โน้นที่นี่นั้นมันไปกันอย่างไร เช่นมนุษย์จะไปเกิดเป็นเทวดาหรือคนไทยจะไปเกิดเป็นคนฝรั่ง เช่นนี้ มันไปกันอย่างไร มันขึ้นรถหรือลงเรือไปหรือ ?
    การที่คนตายแล้วไปเกิดในที่ต่าง ๆ คือ ไปเกิดในต่างชาติต่างศาสนา หรือต่างชั้นภูมิกันนั้น มันสำเร็จด้วยอำนาจวิบากกรรม และวิบากกรรมนั้นเป็นชาตินามธรรม เราจะเอาความเคลื่อนไปของรูปธรรม มาเปรียบเทียบนั้นไม่ได้ เช่น แสงมันมีคลื่นแสงเคลื่อนไปตามอำนาจคลื่นแสงนั้น คือ มันกระทบกันเป็นทอด ๆ ไปเช่นเดียวกันนี้เป็นเรื่องของรูปธรรม เพราะฉะนั้น การเคลื่อนไปของคลื่นแสงหรือคลื่นเสียงนั้นมันก็เคลื่อนไปตามกำลังของรูปธรรม
    ส่วนนามธรรมที่เคลื่อนไปตามอำนาจวิบากกรรมนั้นจะเอามาเปรียบเทียบกับรูปธรรมไม่ได้ นักศึกษาพึงทราบด้วยข้ออุปมาอย่างนี้ เช่นคนที่เดินทางผ่านไปยังตำบล หรือจังหวัดไกล ๆ มาแล้ว เมื่อเขานึกถึงตำบลหรือจังหวัดที่เขาเคยไปมาแล้วนั้น เขาก็เห็นตำบลหรือจังหวัดนั้นด้วยทางใจทันที นั่นเขาเห็นได้อย่างไร เขาไปด้วยรถหรือด้วยเรือหรือขึ้นเครื่องบินไป เปล่าทั้งนั้น เขาก็อยู่ ณ ที่นี้เอง แต่เขาสามารถเห็นได้ คือ รู้ได้ซึ่งตำบลหรือจังหวัดนั้น นี้แหละอำนาจของนามธรรม หรือวิบากกรรมนั้นมันไปด้วยอำนาจของมันเองอย่างรวดเร็วอย่างนี้
    อีกอย่างหนึ่ง เช่นเพชรนิลจินดาอันมีค่า ที่เราเก็บใส่หีบลั่นกุญแจไว้อย่างมิดชิด แต่พอเรานึกถึงมันเท่านั้นเราก็จะเห็นมันซึ่งอยู่ในหีบนั้นทันที เราเข้าไปในหีบนั้นได้อย่างไร ความจริงเราไม่ได้เอาตัวเข้าไปในหีบนั้น แต่เราเข้าไปด้วยนามธรรมคือส่งจิตเข้าไปต่างหาก

 

    ความเคลื่อนไปของนามธรรมต่างจากความเคลื่อนไปของรูปธรรม คือความเคลื่อนไปของรูปธรรมต้องมีวัตถุอะไรมากระทบกันเป็นทอด ๆ ไป ส่วนความเคลื่อนไหวของนามธรรมนั้นเป็นไปด้วยอำนาจวิบากกรรม กรรมดีส่งผลไปเกิดในคติภพที่สูง กรรมชั่วก็ส่งผลไปบังเกิดในคติภพที่ต่ำ เช่น ถ้าคนเราทำอกุศลทุจริตต่าง ๆ ก็ไปบังเกิดเป็นสัตว์นรกบ้าง เปรตบ้าง อสุรกายบ้าง สัตว์ดิรัจฉานบ้าง ถ้าทำกุศลสุจริตต่าง ๆ ก็ไปบังเกิด เป็นมนุษย์บ้าง เป็นเทวดาบ้าง เป็นพรหมบ้าง ความเคลื่อนไปของรูปธรรมกับนามธรรมนั้นมันต่างกันอย่างนี้
    เมื่อสัตว์เกิด เกิดนั่นแหละชื่อว่าชาติ ชาติคือความเกิดขึ้น เมื่อชาติความเกิดขึ้นมีแล้ว ชรา พยาธิ และมรณะก็ตามมา แต่ในปฏิจจสมุปบาทนั้น ท่านไม่ได้แสดงถึงพยาธิเพราะพยาธินั้น บางภูมิก็มีน้อยจึงมองไม่เห็น บางภูมิก็มีมากท่านจึงไม่แสดง ส่วนชราและมรณะนี้ ถ้ามีชาติความเกิดขึ้นแล้ว ก็ต้องมีปรากฎชัดแน่นอนเสมอ
    ชาติความเกิดขึ้นนี้มันเป็นตัวทุกข์ เพราะฉะนั้นเมื่อชาติเกิดขึ้นมาแล้วมันจึงนำเอาความทุกข์มาด้วย ผู้ใดที่ยังต้องเกิดอีกผู้นั้นชื่อว่ายังนำเอาความทุกข์มาด้วย เมื่อมีชาติเกิดขึ้นแล้วก็มีชรามรณะตามมา นี้ก็เป็นทุกข์แต่ละประการเช่นกัน    ชาติเป็นเหตุให้เกิดชราและมรณะ นี้เป็นผลโดยตรงเพราะไม่ว่าใคร ๆ ทั้งนั้นจะหลีกเลี่ยงจากผลโดยตรงนี้ไปมิได้เลย ส่วนโสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส นั้นเป็นผลโดยอ้อม เพราะถ้าผู้ใดมีปัญญารู้เห็นข้อเท็จจริง รู้สภาวธรรมตามความเป็นจริง แล้วก็อาจหลีกเลี่ยงได้ ส่วนชาติชรา และมรณะนั้นหลีกเลี่ยงไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น ชราและมรณะ จึงจัดเป็นผลของชาติโดยตรง ส่วนโสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส จัดเป็นผลโดยอ้อม
    ชาติเป็นเหตุให้เกิดชราและมรณะ ซึ่งเป็นผลโดยตรงและให้เกิดโสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส ซึ่งเป็นผลโดยอ้อม แหละเมื่อผลเหล่านี้เกิดขึ้นแล้ว อาสวะย่อมเกิดขึ้น เมื่ออาสวะเกิดขึ้นแล้วอวิชชา ก็เกิดอีก เพราะฉะนั้น อาสวะนี้แหละ เป็นตัวเหตุให้เกิดอวิชชา คือวกไปหาต้นอีก เมื่อคนเราเกิดมีชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส แล้วก็วกวนไปหาอวิชชาอีก ถ้ายังละสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ ความวกวนหรือความเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏสงสารก็ยังมีอยู่ร่ำไป

 



ปรับปรุง ณ วันที่ 2022-12-27